ความฝันท่านว่าเกิดจากหลายสาเหตุ คือ
- กินมากธาตุกำเริบ
- บุพนิมิต คือ จิตรับรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดชึ้นกับตัวเราในอนาคต
- จิตอาวรณ์ คือ จิตคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา
- เทพสังหรณ์ คือ เทวดาหรือมารมาดลใจให้ฝัน
และยังกล่าวต่อไปว่า ประกาที่ 1 และ 3 ไม่จริง ประการที่ 2 จริงโดย ถ่ายเดียว ประการที่ 4 จริงบ้าง เท็จบ้าง พระมหาบุรุษหลังจากทรง เลิกทำทุกรกิริยาแล้ว ทรงหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต โดยทรงเปรียบ เทียบอุปมา 3 ข้อคือ
- สมณพราหมณ์ที่กายและใจไม่ปลีกออกจากกาม เปรียบดุจไม้สด แช่น้ำ คนเอามาก่อไฟไม่ติด
- สมณพราหมณ์ที่ออกจากกามแต่กาย ใจไม่ออก เปรียบดุจไม้สด อยู่บนบก เอามาก่อไฟไม่ติด
- สมณพราหมณ์ที่ออกจากกามทั้งกายและใจ เปรียบดุจไม้แห้งบนบก จุดไฟติด
อุปมาทั้ง 3 นี้เป็นกำลังสนับสนุนให้พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป เพื่อบรรบลุสัมมาสัมโพธิญาณ จนถึงราตรีขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ขณะ บรรทมหลับ ก็ทรงพระสุบินเป็นบุพนิมิต 5 ประการ คือ
- ทรงพระสุบินว่า พระองค์บรรทมหงายเหนือปฐพี พระเศียรหนุน ภูเขาหิมพานต์ พระหัตถ์ซ้ายหยั่งลงในมหาสมุทรทางทิศตะวันออก พระหัตถ์ขวาและพระบาททั้งสองหยั่งลงในมหาสมุทรทางทิศใต้ (พระมหาบุรุษจะได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าผู้เลิศ สูงส่ง กว่าใคร ๆ ในโลกทั้งสาม)
- หญ้าแพรกงอกขึ้นจากพระนาภี พุ่งสูงจรดท้องฟ้า (จะได้ ประกาศสัจธรรม เผยมรรคผลนิพพานแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง)
- หมู่หนอนทั้งหลายสีดำบ้าง ขาวบ้าง ไต่ยั้วเยี้ยขึ้นมาจากพื้นพระ บาททั้งคู่ จนถึงชาณุมณฑล (คฤหัสถ์ สมณพราหมณ์จะมาเลื่อมใสใน พระพุทธองค์จำนวนมาก)
- ฝูงนก 4 จำพวก มีสีต่าง ๆ กัน คือ สีเหลือง เขียว แดง ดำ บิน มาจากสีทิศ ลงมาจับแทบพระบาทแล้วกลับกลายเป็นสีขาวหมดสิ้น (ชาวโลกทั้งมวล ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อมาสู่สำนักของ พระองค์แล้ว จะเป็นผู้เข้าถึงธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น)
- เสด็จขึ้นเดินจงกรมบนยอดเขาอันเต็มไปด้วยอาจม แต่อาจมนั้น ไม่เปรอะเปื้อนพระยุคลบาท (ถึงพระองค์จะมากด้วยอามิสทีชาวโลก น้อมนำถวาย พระองค์ก็ไม่ติดอยู่ในอามิสเหล่านั้นแม้แต่น้อย)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตื่นบรรทม ทรงดำริถึงข้อพระสุบินนิมิตนั้นแล้ว ก็ทรงแน่พระทัยว่า จักได้บรรลุสัมมสัมโพธิญาณเป็นแน่แท้