บทเกริ่นนำ
พระพุทธศาสนา
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยม เป็นศาสนาที่เปิดกว้าง เป็นศาสนาที่เมตตา เป็นศาสนาที่ใข้การวิเคราะห์วิจารณ์ถึงเหตุถึงผลได้ไม่ปิดบัง บุคคลจะวิเคราะห์วิจารณ์ไปถึงไหน ปฏิบัติไปถึงไหน ไม่มีความขัดข้อง ไม่มีปกปิดเอาไว้ เป็นศาสนาที่เปิดเผยเปิดกว้าง เป็นศาสนาสากลที่ทันสมัยไม่มีเสื่อม เมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้วก็ตาม ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์นั้นไม่เสื่อมไปไหน ดีอยู่ตลอด ตรงนี้จึงเรียกว่า คำสอนในพระพุทธศาสนานี้มั่นคง ถ้าบุคคลนำไปปฏิบัติย่อมได้รับความสุขอย่างแท้จริง
โลกทั้งโลกเป็นของเราไม่ได้ เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เราก็เกิดมาพบมันในโลกนี้ โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอยู่อย่างนี้ เคลื่อนไหวไปมาพร้อมเป็นอนิจจัง
โลกขังเราไว้เป็นกรงขังมีเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกในวัฏสงสาร ติดทุกอย่างอยู่ในโลกใครจะพ้นโลกได้ต้องเรียนโลกให้รู้เพื่อจะวางโลกไม่ติด
ที่มา : หนังสือปัญญาปทีโปนุสรณ์ ๒๕๖๒
สมมุติ วิมุตติ
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป หลงในความสมมุตินี่แหละจึงเรียกว่ามันหลงโลก โลกธรรมก็คือโลก โลกมันสมมุติไว้เราก็หลงไปตามความสมมุติของโลก นี้แหละเป็นข้อที่สำคัญที่เราจะต้องศึกษาพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้รู้ให้ศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด ทุกอย่างจึงจะไม่หลง เมื่อหากให้เราไม่หลงเราจึงปล่อยวางได้ ถ้าเราเข้าใจในสมมุติแจ่มแจ้งชัด เราจึงจะถึงวิมุตติ คือหลุดพ้นจากสมมุตินี้
ความว่างสุดท้าย
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
เราต้องการความว่างสุดท้าย ว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด สอนจิตของตนเองให้รู้โทษของสิ่งเหล่านี้ จึงจะปล่อยวางได้
บุคคลใดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า จิตของบุคคลนั้นแลจะหลุดพ้นไปเข้าสู่เมืองนฤพานได้
พระนิพพาน
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ทำคนเมาให้สร่าง ไม่เมาแล้ว ฉลาดแล้ว นำความกระหายออกจากที่มันเคยกระหายมันหิวสิ้นไปแห่งความอาลัย ไม่มีอาลัยอาวรณ์ตัดวัฏสงสาร
สิ้นไปแห่งตัณหาความทะเยอทะยานอยาก คลายความกำหนัด สิ้นความยินดีไม่ปรารถนา ดับสนิท จึงจะเข้านิพพานได้
คำนำ
หนังสือเล่มนี้ได้นำอมฤตพจนา ไปใช้กับประสบการณ์ส่วนตัวในชีวิตจริง ในรูปแบบ “คติสอนใจ” ซึ่งไม่ใช่การแปลความหมายของอมฤตพจนา ดังนั้น ข้อคิดที่นำมาใช้ในชีวิตจริง จะเป็นการนำคำสอนของอมฤตพจนามาดัดแปลง เพื่อนำมาใช้สอนใจผู้เขียน
ความเห็นที่ได้แสดงทั้งหมดอาจจะไม่ตรงกับท่านอื่น ผู้เขียนไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นต้องเชื่อและทำตาม แต่ผู้เขียนเพียงแต่สะท้อนความคิดที่ผู้เขียนมีความคิดอย่างไร และนำไปใช้อย่างไรจึงจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เช่น การเรียน การทำงาน การลงทุน และการทำบุญ ซึ่งผู้เขียนพอใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและแข่งขัน กล่าวโดยสรุป คติสอนใจ ผู้เขียนใช้อมฤตพจนาสอนใจในเรื่องต่างๆ อย่างไร และพึงพอใจต่อผลรวมที่ได้รับมาทั้งหมดตลอดชีวิตสะท้อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ความพึงพอใจของผู้เขียนอาจจะมีความแตกต่างจากผู้อื่น แต่เป็นความสุข
และความสำเร็จในชีวิตตามมาตรฐานของผู้เขียนเท่านั้น ย่อมไม่เหมือนระดับความพอใจของผู้อื่น
ความเห็นของผู้เขียนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนท่านอื่น ซึ่งผู้เขียนอยากจะบอกว่าชีวิตของผู้เขียนเริ่มจากไม่มีอะไร ได้ใช้อมฤตพจนาตามการตีความของผู้เขียน นำทางชีวิตมาตลอดจนเป็น ดร.ชัยยุทธ ปิลันธน์โอวาท จบปริญญาเอกทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ ได้ทุนปริญญาโทจากรัฐบาล และทุนปริญญาเอกจาก New York University ทำงานกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ๒ กลุ่ม ในตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารมืออาชีพ มีเงินลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สามารถทำให้มีความมั่นคงทั้งครอบครัว มีเงินทำบุญสร้างกุศลตามที่ต้องการ (ในระดับที่พอใจที่จะตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์) มีครอบครัวที่มีความสุข (ไม่ฟุ่มเฟือย)
ความสุขอยู่ที่รู้จักคำว่า “พอ”
คำว่าพออยู่ที่ใจ ใช่ที่ตัวเลข
ตัวเลขเป็นที่มาของความโลภ
จะหยุดความโลภ เมื่อสูญสิ้นฤา
หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ขอท่านจงโชคดี
ที่มาของหนังสือ : อมฤตพจนา พระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ๑
ธรรมะนำชีวิต
อมฤตพจนา : คติสอนใจ
บทที่ ๑ คน
บทที่ ๒ ฝึกตน – รับผิดชอบตน
บทที่ ๓ จิตใจ
บทที่ ๔ การศึกษา
บทที่ ๕ ปัญญา
บทที่ ๖ เลี้ยงชีพ – สร้างตัว
บทที่ ๗ เพียรพยายาม -ทำหน้าที่
บทที่ ๘ ครอบครัว – ญาติมิตร
บทที่ ๙ การคบหา
บทที่ ๑๐ การเบียดเบียน – การช่วยเหลือกัน
บทที่ ๑๑ สามัคคี
บทที่ ๑๒ การปกครอง
บทที่ ๑๓ บุญ-บาป ธรรม-อธรรม ความดี-ความชั่ว
บทที่ ๑๔ กรรม
บทที่ ๑๕ กิเลส
บทที่ ๑๖ คุณธรรม
บทที่ ๑๗ วาจา
บทที่ ๑๘ ชีวิต – ความตาย
บทที่ ๑๙ พ้นทุกข์ – พบสุข
พระพุทธสุภาษิต คำสอนประเภทนี้ แม้จะสั้น แต่ก็กินความหมายกว้างขวาง อีกทั้งมีความหมายลึกซึ้ง ทั้งจดจำง่าย กะทัดรัดเหมาะที่จะถือเป็นคติประจำใจ
บทสรุป : พึงเข้าใจว่า พุทธศาสนสุภาษิตทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงคำสอนส่วนเล็กน้อยจากพระไตรปิฎก ผู้อ่านควรที่จะศึกษาเพิ่มเติมเอง
หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หวังว่าท่านจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้
ขอขอบคุณ
ที่มาของหนังสือธรรมะนำชีวิต (อมฤตพจนา : คติสอนใจ)
สืบเนื่องมาจากผู้เขียนได้อ่านหนังสือ “อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต” ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) หลายรอบ มีความประทับใจในหนังสือเล่มดังกล่าว จนกระทั่งอยากให้ชาวพุทธทุกคนมีหนังสือเล่มดังกล่าว ใช้เป็นคู่มือในการดำเนินชีวิต เพราะเป็นสุภาษิตของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ที่คัดพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ และสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริง จึงได้ให้มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต และพิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนาจัดพิมพ์เพื่อถวาย/แจกให้แก่ วัด พระภิกษุสงฆ์ (ท่านเจ้าอาวาส) กว่า ๔๓,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ และโรงเรียนทั่วประเทศกว่า ๓๕,๐๐๐ แห่ง โรงพยาบาล จำนวนกว่า ๒๕๕ แห่ง โรงเรียนพระปริยัติกว่า ๒๓๙ แห่ง และผ่านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ จำนวนที่จัดพิมพ์คือ ๑ ล้านเล่ม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชเจริญพระชนมายุครบ ๘ รอบเมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา
หลังจากที่ได้ถวาย/แจกหนังสืออมฤตพจนาไปแล้ว ได้รับเสียงสะท้อนว่าต้องการให้มีคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งผู้เขียนได้เลือก อมฤตพจนาบางหัวข้อมาอธิบายเพิ่มเติมเป็นคติคำสอนควบคู่ไปด้วยกัน และขอเรียกชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า “ธรรมะนำชีวิต” ซึ่งแต่ละหน้าจะประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ
- อมฤตพจนา : พุทศาสนสุภาษิต โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
- คติสอนใจ โดยดร.ชัยยุทธ ปิลันธน์โอวาท
ธรรมะนำชีวิต ถูกจัดแบ่งเป็น ๑๙ บท เหมือนอมฤพจนา พุทธศาสนสุภาษิต มี ๑๙ บท เป็นการอธิบายให้ทราบว่า ผู้เขียนได้นำไปใช้กับชีวิตจริงอย่างไร ในแต่ละเรื่องที่คัดออกมา
ธรรมะนำชีวิต เป็นการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น เป็นหลักธรรมที่สามารถนำไปใช้กับทุกชนชาติและศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาพูดแต่ความเป็นจริง ดังนั้น จึงเป็นหลักธรรมที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย ไม่มีการล้าสมัยตามกาลเวลาและสถานที่
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ และนำไปใช้กับชีวิตจริงของท่านตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย หากมีข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องประการใด ผู้เขียนขอเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับการคัดเลือกหัวข้อจากหนังสือ อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิตของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ผู้เขียน ขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ที่ได้บรรจงนิพนธ์ หนังสืออมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต ขึ้นมา
คำขอบพระคุณ
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะได้รับอานิสงส์จากหนังสือ “อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต ฉบับบาลี-ไทย” นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) หนังสืออมฤตพจนา เป็นการรวบรวมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด ที่เกี่ยวกับวงจรชีวิตของมนุษย์ เป็นความจริงที่ตั้งแต่เกิดเป็นคนจนกระทั่งตาย หลักธรรมที่สำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข การสร้างตัวให้มีความมั่นคงในชีวิต การศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา ความเพียรพยายามทำหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จ การสร้างครอบครัวและญาติมิตร และการคบหาคนให้เป็น การเบียดเบียน การช่วยเหลือกัน ความสามัคคี การปกครอง บุญ-บาป ธรรม-อธรรม ความดี-ความชั่ว ความเข้าใจเรื่องกรรม กิเลส คุณธรรม วาจา ชีวิต-ความตาย ท้ายที่สุดเกี่ยวกับหลักธรรมที่ทำให้พ้นทุกข์แล้วจึงพบสุข
ลำดับของอมฤตพจนา โดยการจัดกลุ่มหลักธรรมตามวงจรชีวิตของมนุษย์ ทำให้มีความเข้าใจในชีวิตของคนๆ หนึ่ง มีการพัฒนาชีวิตตั้งแต่เกิดเป็นคนต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เพื่อที่จะได้พบกับโลกธรรม ๘ กล่าวคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ และแล้วก็จากโลกไป จะไปที่ใด มี ๒ เส้นทางคือ โลกียภูมิ (เวียนว่ายตายเกิด ๓๑ ภูมิ) หรือโลกุตรภูมิ (หยุดการเวียนว่ายตายเกิด) ซึ่งเส้นทางของชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำการศึกษาต่อไปในเรื่อง บาป-บุญ ความดี-ความชั่ว และแนวทางปฏิบัติเพื่อไปโลกียภูมิ หรือโลกุตรภูมิ อย่างไรก็ตามอมฤตพจนา มีหัวข้อที่ครอบคลุมหลักธรรมสำคัญที่เราใช้เป็นเข็มทิศทำการศึกษาต่อ
ขอกราบขอบพระคุณ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ที่ปูพื้นหลักธรรมสำคัญในหนังสืออมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต โดยคัดเลือกหลักธรรมที่สำคัญแต่ละช่วงของชีวิตของการเกิดมาเป็นคน จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ชีวิตมีความสำเร็จและความสุขในการทำงานนอกจากนี้ ผมต้องขอบคุณดร.อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ซึ่งเป็นภรรยาที่รัก ที่ให้กำลังใจในการเขียนหนังสือ “ธรรมะนำชีวิต” โดยการนำหลักธรรม อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิตมาขยายความในชีวิตจริง เพื่อจะได้นำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตจริง และตั้งชื่อหนังสือชื่อ “ธรรมะนำชีวิต”