พระพากุละ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระพากุลเถระ เป็นบุตรมหาเศรษฐี ในพระนครโกสัมพี ท่านมีนามว่า “พากุละ” ด้วยเหตุที่ท่าน ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลเศรษฐีทั้งสอง หรืออีกนัยหนึ่งว่าเป็นผู้อันตระกูลแห่งเศรษฐีทั้งสองชุบเลี้ยง ในตำนานกล่าวว่า เมื่อท่านเกิดได้ ๕ วัน มารดาบิดาพร้อมด้วยประยูรญาติ จัดแจงทำการมงคลโกนผมไฟและขนานนามท่าน พี่เลี้ยงนางนม ได้พาท่านไปอาบน้ำชำระเกล้าที่แม่น้ำคงคา ในขณะนั้นมีปลาใหญ่ตัวหนึ่ง แหวกว่ายมาตามกระแสน้ำ มาเห็นทารกนั้นเข้า สำคัญว่าเป็นอาหารจึงได้ฮุบทารกนั้นกลืนเข้าไปในท้อง แต่ทารกนั้นเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก เมื่ออยู่ในท้องปลา ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แม้ความลำบากเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี นอนสบายเหมือนคนนอนบนที่นอนตามธรรมดา เพราะบุญญาธิการของทารก บันดาลให้ปลานั้น บังเกิดความเร่าร้อน กระวนกระวาย เที่ยวกระเสือกกระสน แหวกว่ายไปตามกระแสน้ำ เผอิญไปติดข่ายของชาวประมงชาวพระนครพาราณสี เมื่อชาวประมงนั้นปลดปลาออกจากข่าย ปลานั้นก็ถึงแก่ความตาย เขาจึงเอาปลานั้นไปเที่ยวเร่ขายตีราคาถึงพันกหาปณะ
ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์มาก แต่เป็นคนไร้บุตรและธิดา พร้อมด้วยภรรยาได้ซื้อปลานั้นราคาพันกหาปณะ และได้แล่ปลานั้นออก จึงได้เห็นทารกนอนอยู่ในท้องปลา ครั้นได้แลเห็นทารกนั้นแล้ว ก็เกิดความรักใคร่ราวกะบุตร ได้เปล่งอุทานวาจาขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เราได้ลูกในท้องปลา” เศรษฐีและภรรยาได้เลี้ยงดูทารกนั้นไว้เป็นอย่างดี มิได้มีความรังเกียจเลย
ครั้นกาลต่อมา เศรษฐีผู้เป็นบิดาและมารดาทราบเรื่องราวนั้นเข้า จึงได้ไปสู่สำนักของพาราณสีเศรษฐี พอแลเห็นทารกนั้น จำได้ว่าเป็นบุตรของตน จึงขอทารกนั้นคืน แสดงเหตุผลและหลักฐานให้พาราณสีเศรษฐีนั้นทราบ พาราณสีเศรษฐีไม่ยอม เศรษฐีผู้เป็นบิดา เมื่อเห็นว่าจะไม่เป็นการตกลงกัน จึงได้ทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระเจ้าพาราณสี เพื่อให้พระองค์ทรงวินิจฉัยชี้ขาด พระองค์ได้ทรงวินิจฉัยให้ ตระกูลทั้งสองช่วยกันอภิบาลรักษาชุบเลี้ยงทารกนั้น เศรษฐีทั้งสองนั้น ได้ผลัดเปลี่ยนกันรับทารกไปบำรุงเลี้ยงดูในตระกูลของตนๆ มีกำหนดเวลาคนละ ๔ เดือน อาศัยเหตุตามเรื่องราวที่กล่าวมานี้ ทารกนั้นจึงมีนามปรากฏว่า “พากุละ” จำเดิมแต่กาลนั้นมา
พากุลกุมาร ได้รับการอภิบาลเลี้ยงดูจากตระกูลเศรษฐีทั้งสองเป็นอย่างดีจนเจริญวัยขึ้น ท่านครองฆราวาสอยู่ ๒๐ ปีเต็ม ครั้นเมื่อพระศาสดา เสด็จเที่ยวไปประกาศพระศาสนาในพระนคร พาราณสี พากุลกุมารพร้อมด้วยบริวาร พากันเข้าไปเฝ้า เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส มีความปรารถนาจะบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้ฟังพระโอวาทที่พระองค์ทรงสั่งสอนในทางวิปัสสนา กรรมฐาน ท่านไม่ประมาท อุตส่าห์พยายาม ทำความเพียร เจริญสมณธรรม บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเพียง ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ตั้งแต่บวชมาในพระพุทธศาสนา ประมาณได้ ๖๐ ปี ท่านไม่เคยจำพรรษาในบ้านเลย และเป็นผู้ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ไม่ต้องทำการพยาบาลรักษาร่างกายด้วยเภสัชเลย โดยที่สุดผลสมอแม้ชิ้นหนึ่ง ท่านก็ไม่เคยฉัน ตามตำนานท่านกล่าวว่า การที่ท่านเป็นผู้มีโรคาพาธน้อยนั้น เป็นผลของบุญกุศลที่ท่านสร้างเวจกุฎี และให้ยาบำบัดโรคเป็นทาน เพราะฉะนั้น พระบรม ศาสดาจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างผู้มีโรคาพาธน้อย (อปฺปาพาธานํ) พระพากุลเถระ ดำรงชนมายุสังขารอยู่ โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก่อนแต่จะนิพพาน ท่านเข้าเตโชสมาบัติ นั่งนิพพาน ณ ท่ามกลางระหว่างภิกษุสงฆ์ เมื่อท่านนิพพานแล้ว เตโชธาตุก็บังเกิดเป็นไฟไหม้สรีระร่างกายของท่านให้หมดไป ณ ที่นั้น
|