พิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

๖๐. พระจุลปันถกะ


 

ย้อนกลับ ถัดไป

พระจุลปันถกะ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระจูฬปันถก บังเกิดเป็นบุตรของธิดาแห่งเศรษฐี ในเมืองราชคฤห์ เดิมชื่อว่า ปันถก เพราะเกิดในระหว่างทาง มีพี่ชายชื่อ ปันถก เพราะเกิดในระหว่างทางเหมือนกัน ท่านเป็นน้องมีคำว่า จูฬข้างหน้า จึงเป็นจูฬปันถก ผู้เป็นพี่ชายเติมคำว่า มหา ข้างหน้าจึงเป็น มหาปันถก เด็กทั้งสองได้มาที่บ้านของธนเศรษฐีผู้เป็นตา จนเจริญวัยขึ้น มหาปันถก เมื่อเจริญวัยได้ไปฟังเทศน์กับตาในสำนักของพระศาสดา ที่พระเวฬุวันมหาวิหารเป็นประจำ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใคร่จะบวชจึงบอกตา ตาก็อนุญาติให้บวช พระศาสดาจึงตรัสรับสั่งภิกษุรูปหนึ่ง ให้จัดการบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออาจุครบ ๒๐ ปีแล้ว ก็อุปสมบทเป็นภิกษุ เล่าเรียนพระพุทธวจนะได้มาก เป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญเพียรใน วิปัสสนากรรมฐานไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

เมื่อพระท่านมหาปันถก ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ ใคร่จะให้ความสุขเช่นนั้น เกิดแก่จูฬปันถกบ้าง จึงไปขออนุญาตจากตา เพื่อขอให้จูฬปันถกบวช ตาก็อนุญาตให้ตามความประสงค์ พระมหาปันถกจึงให้จูฬปันถกบวช ครั้น จูฬปันถกบวชแล้ว เป็นคนหัวทึบมาก พระมหาปันถกสอนให้เรียนคาถาพรรณนาพระพุทธคุณ เพียงคาถาเดียว เรียนอยู่ถึงสี่เดือน ก็ยังจำไม่ได้ คาถานั้นว่า

ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ

ปาโตสิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ

องฺคีรสํปสฺสวิโรจมานํ

ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิกฺเข

แปลว่า เธอจงดู พระสักยมุนีอังคีรส ผุ้มีพระรัศมีแผ่ซ่าน ออกจากพระบวรกาย มีพระบวรพักตร์อันเบิกบาน ปานหนึ่งว่าดอกบัวชื่อโกกนุท มีกลิ่นหอม ย่อมขยายกลีบแล้วบานในตอนเช้า มีกลิ่นเรณูไม่จางหาย ท่านย่อมรุ่งเรืองไพโรจน์ ดุจดวงอาทิตย์อันส่องสว่าง แผดแสงอยู่กลางท้องฟ้า ฉะนั้น

ท่านพระมหาปันถก ทราบว่าท่านจูฬปันถกโง่เขลามาก จึงประณามขับไล่ออกจากสำนักของท่าน ในขณะที่ท่านเป็นภัตตุเทศก์ หมอชีวกโกมารภัจจ์ มานิมนต์ภิกษุไปฉันในวันรุ่งขึ้น ท่านก็ไม่นับพระจูฬปันถกเข้าด้วย พระจูฬปันถกเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดจะไปสึกเสีย จึงออกไปแต่เช้าตรู่ ได้พบพระศาสดา ได้เข้าไปเฝ้าแล้ว พระองค์ทรงลูบศีรษะด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วพาไปให้นั่งที่หน้ามุขพระคันธกุฎี ประทานผ้าขาวอันบริสุทธิ์ ให้นั่งลูบคลำทำบริกรรมว่า รโชหรณํ รโชหรณํ (ผ้าเช็ดธุลีๆ )

เมื่อท่านลูบคลำ ทำบริกรรมไม่นาน ผ้านั้นก็เศร้าหมอง เหมือนผ้าเช็ดมือ จึงคิดว่า ผ้านี้เป็นของขาวบริสุทธิ์อย่างเหลือเกิน พอมาถูกร่างกายนี้ จึงละภาวะเดิมเสีย กลายเป็นผ้าที่เศร้าหมองไป สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ แล้วได้เจริญวิปัสสนา พระศาสดาทรงทราบจึงตรัสสั่งสอนด้วยพระคาถา ในเวลาจบพระคาถา พระจูฬปันถกได้บรรลุพระอรหัตตผล ขณะลูบคลำผ้าบริกรรมอยู่นั้น

พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จไปยัง บ้านของหมอชีวก ครั้นพอเขาเข้าไปถวายภัตตาหาร พระองค์ทรงปิดบาตรเสีย พร้อมกับตรัสว่า ภิกษุยังมาไม่หมด ยังเหลืออยู่ที่วิหารอีก ๑ รูป หมอชีวกจึงใช้ให้คนไปตาม ในเวลานั้น พระจูฬปันถกเนรมิตพระภิกษุหนึ่งพันรูปจนเต็มวิหาร เมื่อคนใช้ไปถึง เห็นมีพระมากมายถึงพันรูป จึงรีบกลับไปบอก หมอชีวกโกมารภัจจ์

ลำดับนั้นพระศาสดา ได้ตรัสกะคนไปตามนั้นว่า เจ้าจงไปแล้วบอกว่า พระศาสดาตรัสเรียกพระจูฬปันถก คนไปตามนั้น ก็กลับไปวิหารอีกแล้วบอกตามคำสั่ง ภิกษุทั้งหมดพูดขึ้นว่า ฉันชื่อจูฬปันถก คนไปตามนั้น ก็กลับมาอีก กราบทูลว่าภิกษุเหล่านั้นชื่อจูฬปันถกทั้งนั้นพระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุรูปใด พูดขึ้นก่อน จงจับมือภิกษุรูปนั้นไว้ ภิกษุรูปที่เหลือจักอันตรธานหายไป คนไปตามนั้น ไปถึงวิหารแล้วทำอย่างนั้น จึงได้พาพระจูฬปันถกไปสู่ที่นิมนต์ ในที่สุดแห่งภัตกิจ

ท่านพระจูฬปันถกได้ทำภัตตานุโมทนา ต่อมาพระศาสดาทรงสถาปนาพระจูฬปันถกเถระ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ และในเจโตวิวัฏฏะ เพราะได้รูปาวจรฌาน ๔





ย้อนกลับ ถัดไป

 

 

 

มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต ธรรมะพีเดีย.คอม