พระองคุลิมาล เป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ในพระนครสาวัตถี มารดาชื่อว่านางมันตานีพราหมณี เกิดในฤกษ์มหาโจร ท่านปุโรหิตจึงได้กราบทูลให้พระเจ้าปัสสเสนทิโกศลจับกุมประหารชีวิตเสีย แต่พระองค์หาทรงทำไม่ จึงรับสั่งให้บำรุงเลี้ยงรักษาไว้ ปุโรหิตาจารย์ก็อภิบาลบำรุงรักษากุมารนั้นไว้ และให้นามว่า “เจ้าอหิงสกกุมาร” แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียน เพราะถือเอาตามนิมิตเหตุเมื่อคลอดนั้น
ครั้นเมื่อเจ้าอหิงสกกุมารเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาจึงส่งไปสู่ พระนครตักกศิลา เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาและศิลปศาสตร์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อุตส่าห์กระทำวัตรปรนนิบัติเป็นอันดี และมีปัญญาเล่าเรียนได้ว่องไว แม้จะเล่าเรียนศิลปศาสตร์วิชาการใดๆ ก็รู้จบสิ้นทุกประการ เชี่ยวชาญยิ่งกว่าศิษย์ทั้งปวงจึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ฝ่ายมาณพทั้งหลาย อันเป็นเพื่อนเล่าเรียนด้วยกันนั้น ก็บังเกิดความริษยา จึงประชุมปรึกษากันเพื่อคิด อุบายทำลายเจ้าอหิงสกกุมารเสีย เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้ว ได้ไปยุยงอาจารย์ถึงสองครั้งสามครั้ง (ว่าอหิงสกะ เป็นชู้กับภรรยาของอาจารย์) ในที่สุดอาจารย์ก็ปลงใจเชื่อ คิดหาอุบายที่จะกำจัดอหิงสกกุมาร เมื่อเห็นอุบายเป็นที่แยบคายแล้ว จึงพูดกะเจ้าอหิงสกกุมารว่า ดูกรมาณพ เจ้าจงไปฆ่าคนแล้วตัดเอานิ้วมาให้ได้พันนิ้ว แล้วจงนำมา เราจะประกอบศิลปศาสตร์อันชื่อว่า วิษณุมนต์ ให้แก่เธอ
ในขั้นต้น เจ้าอหิงสกกุมาร มีความรังเกียจ ไม่พอใจ เพราะตนเกิดในตระกูลพราหมณ์ ไม่ควรเบียดเบียนฆ่าสัตว์ เป็นการผิดประเพณี วงศ์ตระกูลมารดาบิดา แต่ด้วยอาศัยความอยากสำเร็จศิลปะศาสตร์อันมีชื่อว่าวิษณุมนต์ จึงได้ฝืนใจทำ เริ่มจับอาวุธ ผูกพันให้มั่นกับตัวแล้ว ก็ลาอาจารย์เข้าสู่ราวป่า เที่ยวพิฆาตฆ่ามนุษย์ อันเดินไปมาในสถานที่นั้นๆ ครั้นฆ่าแล้ว มิได้กำหนดนับเป็นคะแนนไว้ประการหนึ่ง จิตก็มิได้คิดว่า จะกระทำบาปหยาบช้า เหตุดังนี้จึงมิได้กำหนดคนที่ตนฆ่าตาย ก็บังเกิดลบเลือนสงสัย ตั้งแต่นั้นมาเมื่อฆ่าคนตายแล้ว ก็ติดเอานิ้วมือมาร้อยเป็นพวงไว้ ดุจดังพวงมาลัยนับได้ถึง ๙๙๙ นิ้ว เพราะเหตุฉะนั้น อหิงสกกุมารจึงมีนามปรากฏว่า “องคุลิมาลโจร” แปลว่าโจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลา
วันหนึ่งพระบรมศาสดาได้ตรวจดูสัตว์โลกตามพุทธกิจตอนเช้า ได้ทราบว่าจอมโจรองคุลิมาล จะทำกรรมหนัก คือ มาตุฆาต จึงรีบเสด็จไปโปรด องคุลีมาลเจอพระพุทธองค์เข้าก็ตรงเข้าไล่ทันที หมายจะพิฆาตฆ่าเอานิ้วพระหัตถ์ แม้ไล่เท่าไรก็ไม่ทัน จนเกิดกายเหนื่อยเมื่อยล้า จึงร้องตะโกนให้พระบรมศาสดาหยุด พระองค์จึงตรัสบอกว่า พระองค์ได้หยุดแล้ว แต่เขาก็ยังไล่ตามไม่ทัน จึงหาว่าพระองค์ตรัสมุสาวาท พระองค์ก็ตรัสบอกว่า เราหยุดจากการทำอกุศล อันให้ผลเป็นทุกข์มานานแล้ว ส่วนท่านยังไม่หยุด
พระสุระเสียงนั้น ทำให้องคุลิมาล รู้สึกสำนึกโทษของตน จึงเปลื้องเครื่องศาสตราวุธ และมาลัยนิ้วมือออกจากกาย ทิ้งไว้ในซอกภูเขา แล้วเข้าไปเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วย วิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้วทรงนำพาเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร ครั้นเวลารุ่งเช้า ท่านเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ชาวพระนครได้เห็นท่านแล้ว เกิดความตกใจกลัวพากันวิ่งหนีเป็นอลหม่านพากันวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูพระนครเสีย คิดว่าพระองคุลิมาลปลอมเป็นสมณะ เพื่อหลบหนีราชภัย เวลาท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหน ก็มีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่เพียงทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่าน ภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย แต่ก็เป็นโชคของท่านอย่างหนึ่ง ที่ท่านทำน้ำมนต์ ให้หญิงมีครรภ์คลอดง่ายที่สุด ด้วยคาถาน้ำมนต์ ได้แก่
“ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญิจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส”
ท่านพระองคุลิมาลนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจเจริญสมณธรรม แต่จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้เพราะคนที่ฆ่าประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า พระบรมศาสดาทรงทราบ จึงเสด็จมาแนะนำสั่งสอน ไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรม ที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว ท่านประพฤติตาม ไม่ช้า ก็สำเร็จพระอรหัตผล เป็นพระอริยสาวกนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
|