พิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

๔๑. พระโมคคัลลานะ


 

ย้อนกลับ ถัดไป

พระโมคคัลลานะ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระโมคคัลลานเถระ มาบังเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ผู้เป็นนายบ้านชื่อว่า โกลิตะ มารดาชื่อว่านางโมคคัลลี เดิมท่านชื่อว่า โกลิตะ ตามสกุลแห่งบิดา อีกอย่างหนึ่ง เขาเรียกตามความที่เป็นบุตรนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ ท่านเข้าบวชในพระพุทธศาสนาได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นโสดาบัน) และได้อุปสมบทในพระธรรมวินัย ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ เป็นเวลา ๗ วัน อ่อนใจ นั่งโงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั้น ทรงสั่งสอนและแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงมีประการต่างๆ ดังต่อไปนี้

๑. โมคคัลลานะ เมื่อท่านมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจ ถึงสัญญานั้นให้มาก

๒. ท่านควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้ว ด้วยใจของท่านเอง

๓. ท่านควรสาธยายธรรมตามที่ตัวได้ฟังแล้ว และได้เรียนแล้วโดยพิสดาร

๔. ท่าน ควรยอนหูทั้งสองข้างและลูบด้วยฝ่ามือ

๕. ท่านควรลุกขึ้นยืนลูบนัยน์ตาด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว นักขัตรฤกษ์

๖. ท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือ ความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจ เปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด

๗. ท่าน ควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่า จักเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก

๘. ท่านควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวาซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันที่จะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้ว ควรรีบลุกขึ้น

ครั้นตรัสสอนอุบายสำหรับระงับความง่วงอย่างนี้แล้ว ทรงสั่งสอนให้สำเหนียกในใจอีกต่อไปว่า เราจักไม่ชูงวง (คือถือตัว) เข้าไปสู่ตระกูล เราจักไม่พูดคำซึ่งเป็นเหตุให้เถียงกัน เข้าใจผิดต่อกันและตรัสสอนให้ยินดีด้วยที่นอนที่นั่งอันเงียบสงัด และควรเป็นที่อยู่ตามสำพังสมณวิสัย เมื่อตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า โดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนเกษมจากโยคธรรม เป็นพรหมจารีบุคคลยิ่งกว่าผู้อื่นที่มีสุดดีกว่าผู้อื่นประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับแล้วว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา เป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละคืน ในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ถือมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลส ให้สงบได้ด้วยตนเอง และทราบชัดว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จำจะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำอย่างนี้อีกมิได้มี

ท่านพระโมคคัลลานะ ปฏิบัติตามโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอนก็ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น ครั้นพระโมคคัลลานะ ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ท่านได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดา ในอันยังกิจที่พระบรมศาสดาทรงดำริไว้ให้สำเร็จ เพราะท่านเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก จึงได้รับยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์ (อิทธิมนฺตานํ) และทรงยกย่องว่าเป็นคู่กันกับพระสารีบุตรในอันอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัยดังกล่าวแล้ว

ในประวัติท่านพระสารีบุตรว่าสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำยกย่อง พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะ ไม่ค่อยจะมีที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์ ก็มีเพียงแต่ อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมอันทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือว่าง่าย ท่านพระโมคคัลลานะนั้นชำนาญในการนวกรรม (การก่อสร้าง) ด้วย ดังจะเห็นได้ จากเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพารามในกรุงสาวัตถี พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านเป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมการก่อสร้าง ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา ในวันดับเดือน ๑๒ ภายหลังพระสารีบุตรปักษ์หนึ่ง (๑๕ วัน) พระศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุมาก่อพระเจดีย์บรรจุไว้ที่ใกล้ประตูแห่งเวฬุวนาราม





ย้อนกลับ ถัดไป

 

 

 

มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต ธรรมะพีเดีย.คอม