พระสุภูติ พระสุภูติเถระ เกิดในวรรณะแพศย์ เป็นบุตรของสุมนเศรษฐี ผู้เป็นน้องชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในนครสาวัตถี ท่านเป็นผู้มีลักษณะดี ผิวพรรณผ่องใส สะอาด สวยงาม จึงได้นามว่า “สุภูติ” ซึ่งถือว่าเป็นมงคลนาม มีความหมายว่า “ผู้เกิดดีแล้ว”
เหตุการณ์ที่ชักนำให้ท่านได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็เนื่องมาจากอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นลุง ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขณะประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน เมืองราชคฤห์ และได้ฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้ว กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเพื่อเสด็จกรุงสาวัตถี เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงรับอาราธนาแล้ว รีบเดินทางกลับมาสู่กรุงสาวัตถี ได้จัดซื้อที่ดินอันเป็นราชอุทยานของเจ้าชายเชตราช สร้างซุ้มประตูพระอาราม เจ้าชายเชตราชกุมาร จึงขอมอบพื้นที่และจัดสร้างให้ โดยขอให้จารึกพระนามของ พระองค์ ไว้ที่ซุ้มประตูพระอารามนั้น “เชตวัน” ดังนั้นพระอารามนี้จึงได้นามว่า “พระเชตวันมหาวิหาร”
ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จัดการฉลองพระวิหารเชตะวันนั้น ได้กราบอาราธนาพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยและฉันภัตตาหาร สุภูติกุฎุมพีผู้เป็นหลาน ได้ติดตามไปร่วมพิธีช่วยงานนี้ด้วย ครั้นได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี ที่เปล่งออกจากพระวรกายของพระบรมศาสดา สวยงามเรืองรองไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสอนุโมทนาทาน
สุภูติกุฎุมพี ได้ฟังแล้วยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น จึงกราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ครั้นได้อุปสมบทสมความปรารถนาแล้ว ได้ศึกษาพระวินัยปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก จนเชี่ยวชาญ จากนั้นได้เรียนพระกรรมฐานจากพระบรมศาสดา แล้วหลีกออกไปบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสสนากรรมฐานอยู่ในป่า ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นกิเลสาสวะ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระศาสนา
พระสุภูติเถระ โดยปกติแล้ว มักจะเข้าฌานสมาบัติ เพื่อแสดงหาความสุขอันเกิดจากการสิ้นกิเลส ท่านประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ
๑. อรณวิหารธรรม คือ เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา หรือเป็นอยู่อย่างไม่มีข้าศึก (อรณวิหารีนํ)
๒. ทักขิเณยยบุคคล คือ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน (ทกฺขิเณยฺยานํ)
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงยกย่องท่าน ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ๒ ทาง คือ ในทางเจริญฌานประกอบด้วยเมตตา (อรณวิหารี) และในทางเป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน (ทกฺขิเณยฺยานํ)
|