พระราธะ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระราธเถระ เกิดในสกุลพราหมณ์ ในนครราชคฤห์ เดิมก็ชื่อราธะ สกุลของท่านเป็นสกุลที่มั่งคั่งสกุลหนึ่ง เมื่อราธพราหมณ์แก่เฒ่าชรา บุตร ภรรยาไม่เลี้ยงดู เป็นคนยากจนเข็ญใจ จึงไปอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ กับพระภิกษุในพระเวฬุวันวิหาร
ต่อมาราธพราหมณ์มีความประสงค์อยากจะบวช แต่ไม่มีใครบวชให้ เมื่อไม่ได้บวชสมประสงค์ จึงมีร่างกายซูบผอม มีผิวพรรณหม่นหมองไม่ผ่องใส พระบรมศาสดา ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ จึงตรัสถาม ทราบความแล้ว รับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ใครระลึกถึงอุปการคุณของพราหมณ์นี้ได้บ้าง พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าระลึกได้ อยู่ในวันหนึ่ง ข้าพระพุทธ เจ้าเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์ได้ถวายอาหารแก่ข้าพระพุทธเจ้าทัพพีหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสว่าดีละๆ สารีบุตรสัตบุรุษ เป็นคนกตัญญูกตเวที ถ้าอย่างนั้นสารีบุตรให้พราหมณ์นั้นบวชเถิด ครั้นทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรบวชราธพราหมณ์อย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้ยกเลิกการอุปสมบท ด้วยวิธีรับไตรสรณคมน์ ที่ได้ทรงอนุญาตไว้แล้วแต่เดิม
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทรงอนุญาตให้สงฆ์อุปสมบทกุลบุตรด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ท่านพระราธะเป็นองค์แรกในการ อุปสมบทด้วยวิธีนี้ เมื่อราธะอุปสมบทแล้ว วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าโดยย่อๆ ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังแล้ว จักหลีกออกจากหมู่ อยู่แต่ผู้เดียว เป็นคนไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปในภาวนา พระบรมศาสดาตรัสสอนว่า “ราธะ สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจ ในสิ่งนั้นเสีย อะไรเล่า ชื่อว่ามาร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน มีความสิ้นไป เสื่อมไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ชื่อว่ามาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเสีย”
พระราธะรับโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอน อย่างนี้แล้ว เที่ยวจาริกไปกับพระสารีบุตร ไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตต์ พระบรมศาสดาตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลาย ถือเอาเป็นตัวอย่างว่า ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่ายอย่างราธะเถิด เมื่ออาจารย์ชี้โทษสั่งสอนอย่าถือโกรธ ควรคบแต่บัณฑิต ที่ตนเห็นว่าเป็นคนแสดงโทษกล่าวชม ให้เป็นดุจคนชี้บอกขุมทรัพย์ให้ เพราะคบบัณฑิตเช่นนั้น มีคุณประเสริฐ ไม่มีโทษเลย และได้ตรัสในคาถาพระธรรมบทว่า “พึงเห็นบัณฑิตผู้กล่าวสอน ชี้โทษ พูดข่มไว้ มีปัญญากว้างขวาง เหมือนชี้บอกขุมทรัพย์ให้ พึงคบบัณฑิตเช่นนั้น เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น ก็มีแต่ดีไม่เสียหายเลย”
ต่อมา พระศาสดาทรงสถาปนาท่านพระราธเถระ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าสาวกผู้มีปฏิภาณ (ปฏิภาณเณยฺยกานํ)
|