พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าพระสงฆ์ทั้งปวงในด้านสติปัญญา นอกจากนี้ พระสารีบุตรยังมีคุณธรรมในด้านความกตัญญู และการบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่พุทธศาสนาอีกด้วย จึงมีคำยกย่องภิกษุรูปนี้ว่าเป็น "ธรรมเสนาบดี" คู่กับ พระพุทธเจ้าที่เป็น "ธรรมราชา" พระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา คู่กับพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
พระสารีบุตรเดิมชื่อ อุปติสสะ เป็นเพื่อนรักกับโกลิตะมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ ครั้งหนึ่งเคยไปบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก ณ กรุงราชคฤห์ แต่ยังไม่พึงพอใจเพราะเห็นว่าความรู้ จากสำนักนั้น หาใช่ที่ตนค้นหาใม่ จึงออกจากสำนักและค้นหาครูผู้สามารถสอนความจริงของโลกให้ประจักษ์ได้อย่างแท้จริง วันหนึ่งพระสารีบุตรได้พบกับ พระอัสสชิ ประทับใจในอิริยาบถน่าเลื่อมใส สำรวมดีของท่านอัสสชิ จึงตามไปถามธรรมะ ได้ทราบถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ธรรมทั้งหลาย มี เหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ) พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะตรัสอย่างนี้” ก็สำเร็จเป็น พระโสดาบัน เกิดธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา”
หลังจากนั้นอุปติสสะนำ ธรรมะที่ได้ฟังมาไปเล่าให้โกลิตะฟัง ทั้งสองชวนปริพาชก ๒๕๐ คน (ยกเว้นสัญชัยเจ้าสำนัก) ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตผล คงมีแต่ อุปติสสะและโกลิตะที่บรรลุเพียงโสดาบันเช่นเดิม ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมดด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอุปติสสะมีชื่อเรียกใหม่ว่า สารีบุตร เวลาผ่านไปครึ่งเดือน พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระสารีบุตร ทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลาน (ลุง) พระสารีบุตร เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อทูลถามปัญหา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับทิฏฐิและเวทนา ทีฆนขะได้บรรลุโสดาบัน ส่วนพระสารีบุตรนั้น ท่านได้ยินธรรมเหล่านั้นอยู่ด้วย ก็บรรลุอรหัตผล
วันนั้น เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ให้กับพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป (รวมพระสารีบุตร ผู้เพิ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นด้วย) พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน นอกจากนี้พระสารีบุตรยังเป็นคู่กับพระมหาโมคคัลลานะ เปรียบเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนม ผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรได้รับการยกย่องเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระสารีบุตรมีคำเรียกอีกว่า พระธรรมเสนาบดี ซึ่งเป็นคู่กับพระบรมศาสดา เพราะเวลาที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนา ท่านสามารถชี้แจงแสดงให้ผู้ฟังเข้าใจ
ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านพระสารีบุตรพิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนจะสิ้นแล้ว กำลังอาพาธอยู่นั้น ท่านได้ เทศนาโปรดมารดา จนนางสารีได้บรรลุโสดาบัน คืนนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง พระสารีบุตรก็ปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิด การที่บุตรได้ชักนำบุพการี ให้นับ ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จนได้มรรคผล นับเป็นการตอบแทนคุณอย่างยอดเยี่ยม
|