พระพาหิยทารุจิริยะ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระพาหิยทารุจิริยเถระ มาบังเกิดเป็นบุตรของกุฎุมพี ในแคว้นพาหิยรัฐ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้ประกอบอาชีพในการค้าขาย ครั้งหนึ่ง ได้ไปทำการค้าขายทางจังหวัดสุวรรณภูมิโดยทางเรือ พร้อมด้วยพวกมนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเรือกำลังแล่นไปในท่ามกลางมหาสมุทร ยังไม่ถึงที่จุดหมายปลายทาง ก็ได้อับปางลงในท่ามกลางมหาสมุทร พวกคนทั้งหมดได้ตกเป็นภักษาของปลาและเต่า ยังเหลืออยู่แต่พาหิยทารุจิริยะคนเดียว เกาะแผ่นกระดานได้แผ่นหนึ่ง พยายามแหวกว่ายไปขึ้นที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะ ไม่มีผ้านุ่งห่มติดตัวเลย จึงเอาเปลือกไม้บ้าง ใบไม้บ้างมาเย็บติดกันเข้า ทำเป็นผ้านุ่งผ้าห่ม ถือกระเบื้องเที่ยวไปขออาหารเลี้ยงชีพ พวกมนุษย์ได้เห็นท่านแล้ว พากันสำคัญว่า ผู้นี้คงเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งอย่างแน่นอน จึงพากันให้ทานข้าวยาคูและข้าวสวยเป็นต้น และนำผ้านุ่งผ้าห่มไปให้เพื่อท่านจะใช้นุ่งห่ม ท่านมาพิจารณาว่า ถ้าเรานุ่งห่มผ้าเสียแล้ว ลาภสักการะของเราจักเสื่อม จึงปฏิเสธพวกมนุษย์ ไม่ให้นำผ้านุ่งผ้าห่มมาให้อีกต่อไป แล้วนุ่งผ้าทำด้วยเปลือกไม้ตามเดิม และได้มีความสำคัญว่าตนเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ครั้นพรหมที่เคยบำเพ็ญสมณธรรมร่วมกันมาแต่ชาติก่อน ซึ่งไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้เล็งเห็นพฤติกรรมของพาหิยทารุจิริยะเช่นนั้น จึงได้ลงมาว่ากล่าวตักเตือนสติว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านต้องไม่ทำเช่นนั้น จึงรู้สึกสำนึกตัวได้ว่าตนไม่ใช่พระอรหันต์ การทำเช่นนี้เป็นการหลอกลวงโลก ไม่เป็นการสมควรเลย เมื่อรู้สึกตัวเช่นนั้นแล้วจึงได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ในพระนครสาวัตถีได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมให้รู้จักควบคุมอินทรีย์และสำเหนียกในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา กล่าวคือ ให้ระมัดระวังสำรวมอินทรีย์ เมื่อเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ท่านได้ส่งจิตไปตาม กระแสพระธรรมเทศนา ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ขณะอยู่ในเพศคฤหัสถ์ เมื่อจบเทศนา ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนากับพระบรมศาสดา
ในเวลานั้นเผอิญมีนางยักขินีตนหนึ่ง จำแลงเพศเป็นแม่โคนม วิ่งมาโดยเร็วขวิดท่านปรินิพพาน ไม่ทันได้อุปสมบท พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นสรีระของท่าน พระองค์จึงรับสั่งให้ภิกษุจัดแจงทำฌาปนกิจ แล้วก่อพระสถูปบรรจุอัฐิไว้ณทางใหญ่ ๔ แพ่ง พาหิยะเป็นบัณฑิตและพาหิยะนั้นปรินิพพานแล้ว แต่พระภิกษุทั้งหลายก็ยังไม่วายสงสัยว่า พระศาสดามิได้แสดงธรรมธรรมมากเลย แล้วพาหิยะบรรลุพระอรหัตได้อย่างไร พระศาสดาตรัสว่า ธรรมน้อยหรือมาก ไม่ใช่เหตุ ธรรมนั้นก็เหมือนยาแก้คนที่ดื่มยาพิษ แล้วตรัสคาถาในพระธรรมบทว่า “ถ้าคาถาถึงพันคาถาที่ประกอบด้วยบทอันไม่เป็นประโยชน์ ก็ประเสริฐสู้คาถาบทเดียว ที่ฟังแล้วสงบระงับไม่ได้” ต่อมาภายหลัง พระบรมศาสดาประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์ ทรงสถาปนาท่านพาหิยเถระไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุสาวก ผู้ตรัสรู้เร็ว (ขิปฺปาภิญญานํ)
|