พระปิลินทวัจฉะ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระปิลินทวัจฉเถระ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ วัจฉโคตร ท่านชื่อว่า “ปิลินทะ” เรียกชื่อรวมเข้ากับโคตรด้วยว่า ปิลินทวัจฉะ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา บังเกิดศรัทธาแก่กล้า ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ครั้นได้อุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ไม่ประมาท อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรในวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็สำเร็จพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา
ท่านปิลินทวัจฉะ เมื่อพูดกับคฤหัสถ์ก็ดี ภิกษุก็ดี ใช้โวหารว่า “วสล” ซึ่งแปลว่า “เป็นคนถ่อย” อันเป็นคำหยาบคายทุกคำไป เช่น “มาซิเจ้าถ่อย, ไปซิเจ้าถ่อย, นำไปซิเจ้าถ่อย, ถือเอาซิเจ้าถ่อย” พวกภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก จึงพากันเข้ากราบทูลเนื้อความนั้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งไปเรียกตัวเข้ามาเฝ้า ครั้นพระปิลินทวัจฉะ เข้ามาเฝ้าแล้ว ทรงรับสั่งถาม ดูกร ปิลินทวัจฉะ ได้ทราบข่าวว่า เธอร้องเรียกพวกภิกษุด้วยวาทะว่า “วสล” จริงหรือ? จึงกราบทูลว่า จริงอย่าง นั้นพระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนึกถึงบุพเพสันนิวาสของท่านพระปิลินทวัจฉะแล้ว ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกล่าวเช่นนั้น แห่งบุตรของเรา จนเคยชินในปัจจุบันเท่านั้น หามิได้ แต่ในอดีตกาลบุตรของเรานี้ บังเกิดในครอบครัวแห่งพราหมณ์ ผู้มักกล่าวว่าถ่อยถึงห้าร้อยชาติ ดังนั้น บุตรของเรานี้ จึงกล่าวเพราะความเคยชิน มิได้กล่าวด้วยเจตนาหยาบ
จริงอยู่โวหารแห่งพระอริยะทั้งหลาย แม้จะหยาบอยู่บ้าง ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์แท้ เพราะไม่หยาบ ไม่เป็นบาปแม้มีประมาณเล็กน้อยเพราะการกล่าวนี้ พระปิลินทวัจฉเถระ มีวาจาสิทธิ์รูปหนึ่ง และได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักใคร่เจริญใจของเทพยดา
|