พิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

๒๓. พระอานนท์


 

ย้อนกลับ ถัดไป

พระอานนท์ พระอานนท์ ก่อนจะผนวชนั้น ทรงเป็นเจ้าชายแห่งศากยวงศ์ โดยท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะศากยราช ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระมารดาทรงพระนามว่ามฤคี พระอานนท์ จึงถือว่าเป็นลูกผู้น้องของเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็นสหชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ เนื่องจากในวัน ประสูตินั้น ได้บังเกิดสหชาติกับพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ ได้แก่ (๑) พระนางพิมพาราหุลมาตา (๒) ฉันนะอำมาตย์ (๓) กาฬุทายิอำมาตย์ (๔) พระอานนท์ (๕) กันถกอัสสราช (๖) ต้นมหาโพธิ์ (๗) ขุมทรัพย์ ๔ ทิศ

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จกลับไปโปรดพระพุทธบิดาและพระญาติวงศ์ศากยะ ณ นครกบิลพัสดุ์ ในครั้งนั้น บรรดาศากยราชได้ทรงเลื่อมใสศรัทธา ต่างได้ถวายพระโอรสของตนให้ออกบวชตามเสด็จ ต่อมาศากยกุมารได้แก่ เจ้าชายมหานามะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ เจ้าชายอานนท์ และเจ้าชายเทวทัต รวมทั้งอุบาลีซึ่งเป็นกัลบกได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อขออุปสมบท พระอุปัชฌายะของพระอานนท์คือ พระเวลัฏฐสีสเถระ

เมื่อศากยราชกุมารทั้ง ๖ และอุบาลีได้ผนวชแล้ว ท่านพระภัททิยะได้ เป็นพระอรหัตถ์เตวิชโช ระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง ท่านพระอนุรุทธะ เป็นผู้มีจักษุเป็นทิพย์ ภายหลังบรรลุพระอรหัตผล พระภคุเถระและพระกิมพิลเถระ ภายหลังเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต พระเทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน

สำหรับท่านพระอานนท์ ครั้นอุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร ไม่นานก็ได้สำเร็จชั้นโสดาบัน ในกาลต่อมา ท่านได้เล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตร มีอุปการคุณต่อท่านและพวกภิกษุผู้นวกะมาก ท่านพระปุณณมันตานีบุตรได้กล่าวสอนท่านว่า "ดูกรอานนท์ เพราะถือมั่นจึง มีตัณหา มานะ ทิฐิว่าเป็นเรา เพราะไม่ถือมั่น จึงไม่มี ตัณหามานะ ทิฐิว่าเป็นเรา เพราะถือมั่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงมีตัณหา มานะ ทิฐิ ว่าเป็นเรา เพราะไม่ถือมั่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณจึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฐิว่าเป็นเรา ฉันนั้นเหมือนกัน”

จากนั้น ท่านพระอานนท์ก็ได้ทราบจากปุณณมันตานีบุตรว่า รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ เป็น สิ่งไม่เที่ยง และในตอนสุดท้ายของการสอนธรรมครั้งนี้ ท่านบอกแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า ท่านได้ตรัสรู้ธรรมซึ่งหมายถึงได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เนื่องจากกุฎิพระอานนท์ ใกล้กับพระมูลคันธกุฎี บนยอดเขาคิชฌกูฏิ เมืองราชคฤห์

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ทรงตรัสรู้แล้วถึง ๒๐ พรรษา แต่ยังไม่มีผู้ใดเป็นพุทธอุปัฎฐากประจำ ซึ่งได้สร้างความลำบากแก่พระองค์เป็นอย่างมาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า บัดนี้ พระองค์ทรงพระชราแล้ว ภิกษุผู้อุปัฏฐาก พระองค์บางรูปทอดทิ้งพระองค์ ไปตามทางที่ตนปรารถนา คณะสงฆ์เห็นว่าควรจะมีพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งคอยสนองงานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นว่าพระอานนท์เหมาะสมที่สุด

ท่านพระอานนท์ก่อนรับเป็นพุทธอุปัฏฐากได้กราบทูลขอพร ๘ ประการ พระผู้มีพระภาคทรงประทานพร ๘ ประการ ตามที่พระอานนท์กราบทูลขอทุกประการ ท่านพระอานนท์จึงได้รับตำแหน่งพุทธอุปัฏฐาก และได้อุปัฏฐากพระพุทธองค์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันเสด็จ ดับขันธปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค เป็นเวลา ๒๕ พรรษา กิจหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก คือ การถวายน้ำ ถวายไม้สีฟัน นวดพระหัตถ์และพระบาท นวดพระปฤษฎางค์ปัดกวาดพระคันธกุฎีและบริเวณพระคันธกุฎี ในตอนกลางคืน ท่านกำหนดเวลาได้ว่า เวลานี้พระพุทธองค์ทรงต้องการอย่างนั้น อย่างนี้แล้วเข้าเฝ้า เมื่อเฝ้าเสร็จ ก็ออกมาอยู่ภายนอกพระคันธกุฏี

ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ได้กล่าวยกย่องท่านพระอานนท์ไว้ว่า ท่านขยันในการอุปัฏฐากมาก ในบรรดาพระภิกษุผู้เคยอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ามาแล้ว ไม่มีใครทำได้เหมือนท่าน เพราะท่านรู้พระทัยของพระพุทธองค์ดี จึงอุปัฏฐากได้นาน ด้วยเหตุนี้ในคราวที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสกับท่านว่า "อานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคต ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง หาประมาณมิได้ มาช้านานแล้ว เธอได้ทำบุญไว้มากแล้ว อานนท์ เธอจงประกอบความเพียรเถิด จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน" แล้วตรัสประกาศเกียรติคุณของพระอานนท์ให้ปรากฎแก่พระภิกษุทั้งหลาย

พระอานนท์ได้รับการสรรเสริญจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะ (เลิศ) ๕ ประการ คือ มีสติรอบคอบ มีคติคือความทรงจำแม่นยำ มีความ เพียรดี เป็นพหูสูต เป็นยอดของภิกษุผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า

ความเป็นพหูสูตของพระอานนท์นั้น นับว่าเป็นคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ภายหลัง พุทธปรินิพพานแล้ว มีภิกษุบางพวกกล่าวติเตียนพระศาสนา ทำให้พระมหากัสสปเถระเกิดความสังเวชในใจว่า ในอนาคตพวกอลัชชีจะพากันกำเริบย่ำยีพระศาสนา จำต้องกระทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ให้เป็นหมวดหมู่ จึงได้นัดแนะพระภิกษุสงฆ์ให้ไปประชุมกันที่กรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมวินัยตลอดเข้าพรรษา โดยที่พระอานนท์เถระ ซึ่งได้รับประทานพรข้อที่ ๘ ทำให้ท่านเป็นผู้ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก จึงสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม ดังปรากฎในบทสวดคาถาต่างๆ ด้วยเหตุที่ท่านขยันเรียนและมีความจำดีนี่เอง ท่านจึงได้รับยกย่องว่าเป็นพหูสูต เป็นธรรมภัณฑาคาริก ทรงจำพระพุทธพจน์ ได้ถึง ๘๔,๐๐๐พระธรรมขันธ์ แม้ท่านจะเป็นเพียงพระโสดาบันก็ตาม แต่ท่านก็มีปัญญา แตกฉานในปฏิสัมภิทา มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องปฏิจจสมุปบาท

ครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ผู้เป็นพระพุทธบิดาได้สิ้นพระชนม์แล้ว พระนางมหาปชาบดี ผู้เป็นพระอัครมเหสีและพระมาตุจฉาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีศรัทธาปสาทะ ที่จะออกบวชเป็นภิกษุณี จึงเสด็จพร้อมด้วยเหล่าศากยกุมารีหลายพระองค์ ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทูลขอออกบวช แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามเสีย แม้พระนางเจ้าจะได้กราบทูลขอถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงประทานพระพุทธานุญาต ทำให้พระนางเสียพระทัยมาก เมื่อพระอานนท์ทราบเข้า จึงมีมหากรุณาจิตคิดจะช่วยเหลือพระนางให้สำเร็จดังประสงค์ จึงได้ไปกราบทูลขอสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ทำให้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานพระพุทธานุญาต โดยมีเงื่อนไขว่าสตรีนั้นจะต้องรับครุธรรม ๘ ประการ ก่อนถึงจะอุปสมบทได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงครุธรรม ๘ ประการ แก่พระอานนท์ และพระอานนท์ก็จำครุธรรม ๘ ประการนั้น ไปเฝ้าพระนางมหาปชาบดี ซึ่งพระนางก็ทรงยอมรับครุธรรมนั้นและได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา

ภายหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว ท่านพระอานนท์ได้เข้าร่วมทำสังคยานาพระไตรปิฎก ในขณะที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่เพื่อให้คณะสงฆ์ครบจำนวน ๕๐๐ รูปตามที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ท่านได้ทำความเพียรอย่างหนัก เพื่อให้สำเร็จอรหัตต์ก่อนการทำสังคายนา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพื่อนๆ ได้ตักเตือนท่านว่า ในวันรุ่งขึ้น ท่านจะต้องเข้าไปนั่ง ในสังฆสันนิบาตแล้ว ท่านเองเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ขอให้ทำความเพียร อย่าประมาท ในคืนนั้น ท่านได้เดินจงกรม กำหนดกายคตาสติ จนจวบปัจจุสมัยใกล้รุ่ง จึงลงจากที่จงกรม หมายใจจะหยุดนอนพักผ่อนในวิหารสักครู่ก่อน แต่พอเอนกายลงนอน ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้า ทั้งสองยังไม่พ้นจากพื้น ท่านก็ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กำหนดกาลเวลาพอเหมาะแล้ว ท่านจึงแทรกดินลงไปและผุดขึ้น ณ อาสนะแห่งตน แต่บางท่านกล่าวว่า ท่านเหาะไปทางอากาศตกลง บนอาสนะของท่านก่อนการสังคายนาพระธรรมวินัยจะเริ่ม

พระมหากัสสปเถระ ตั้งปัญหาหลายประการแก่พระอานนท์ ด้วยเหตุที่พระอานนท์เถระ เป็นผู้ที่สาธยายพระสูตร จนทำให้ปฐมสังคายนาสำเร็จเรียบร้อย หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ได้เที่ยวจาริก สั่งสอนเวไนยสัตว์แทนองค์พระศาสดา จนชนมายุของท่านล่วงเข้า ๑๒๐ ปี ท่านจึงได้พิจารณาอายุสังขารของท่าน และเข้าสู่นิพพาน





ย้อนกลับ ถัดไป

 

 

 

มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต ธรรมะพีเดีย.คอม