พระมหากัปปินะ ครั้งนั้น ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด ท่านกัปปินะ ถือปฏิสนธิในราชนิเวศน์ เป็นพระราชโอรสกษัตริย์ ในพระนครกุกกุฏวดี เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้ว ได้เสวยราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ต่อมา มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าอโนชาเทวี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ในสาคลนคร แคว้นมัททรัฐ
พระเจ้ามหากัปปินะนั้น มีม้าพระราชพาหนะทรงไปเที่ยวสืบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ต่อมาวันหนึ่งพระองค์ทรงม้าชื่อว่า สุปัตตะ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และอำมาตย์ราชบริพาร ได้พบพ่อค้าประมาณ ๕๐๐ คน ตรัสถามทราบความว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า บังเกิดขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรงมีความปีติโสมนัส พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และอำมาตย์ราชบริพารประมาณพันหนึ่ง เสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดา
ในระหว่างทางเสด็จไปพบแม่น้ำ ๓ แห่ง คือ แม่น้ำชื่ออารวปัจฉา แม่น้ำนีลวาหนา และแม่น้ำจันทภาคาตามลำดับ ในแม่น้ำเหล่านั้น หาเรือแพที่บุคคลจะขี่ ข้ามไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระเจ้ามหากัปปินะพบแม่น้ำสายที่ ๑ ได้ทรงระลึกถึงพระพุทธคุณ แม่น้ำสายที่ ๒ ระลึกถึงพระธรรมคุณ แม่น้ำสายที่ ๓ ระลึกถึง พระสังฆคุณ ด้วยเดชะคุณพระรัตนตรัย แม่น้ำบังเกิดเป็นน้ำแข็ง ม้าเดินไปได้โดยสะดวก
ส่วนพระบรมศาสดาทรงทราบว่าพระเจ้ากัปปินะ ทรงสละราชสมบัติ พร้อมด้วยบริวารเสด็จมา มีพระราชประสงค์จะออกบรรพชาอุปสมบท มุ่งเฉพาะพระองค์ จึงได้เสด็จออกไปรับ ประทับอยู่ใต้ร่มไทร ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ทรงเปร่งรัศมีให้ปรากฏ พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมด้วยบริวาร เสด็จถึงที่นั่นแล้ว ทรงดำเนินเข้าไปเฝ้าตามแสงรัศมี ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วประทับ นั่งอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงแสดงอนุปุพพิกถา (ทานกถา, สีลกถา, สัคคกถา, กามทีนวกถา, เนกขัมมานิสังสกถา)
ในที่สุดเทศนา พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมด้วยบริวารได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระนางอโนชาเทวีพร้อมบริวารได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท ภายหลังได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของนางภิกษุณี ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับทั้งบริวาร ส่วนท่านพระมหากัปปินะพร้อมทั้งบริวาร ได้สดับพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงแก่ราชเทวีนั้น ครั้นส่งจิตไปตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา
ท่านพระมหากัปปินะ ครั้นได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว มักเที่ยวเปล่งอุทานว่า “อโห สุขํ อโห สุขํ” แปลว่า “สุขหนอ สุขหนอ” เสมอ เพราะท่านเกิดความปีติในธรรม จึงเปล่งอุทานปรารภอมตมหานิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาในพระธรรมบทว่า “บัณฑิตมีใจผ่องแผ้วแล้ว มี ปีติในธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ยินดีในธรรมที่พระอริยะประกาศแล้วทุกเมื่อ”
ท่านมหากัปปินะได้รับพระบรมพุทธานุญาต ให้เป็นผู้สั่งสอนบริวารของท่านพันรูป ให้ได้สำเร็จพระอรหัตผล และได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้โอวาทภิกษุ (ภิกฺขุโอวาทกานํ) เพราะ ท่านสามารถแสดงธรรมแก่ พระภิกษุพันรูปให้บรรลุพระอรหัตต์ได้หมดทุกรูปในคราวเดียวกัน
|