พระยสะ พระยสะนั้นเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์ คืนหนึ่งเกิดความสลดใจ คิดเบื่อหน่ายออกอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ยสกุลบุตร เดินออกจากประตูเรือนไป แล้วตรงไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรอุทานอย่างนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถา พรรณนาการให้ทานและการรักษาศีลแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คือ อริยสัจ ๔ อย่าง คือ ทุกข์, เหตุให้ทุกข์เกิด, เหตุให้ทุกข์ดับ, และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรม ที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่น ด้วยอุปาทาน
บิดาของยสกุลบุตร ตามบุตรที่หายไปจากบ้าน เข้าไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เห็นพระศาสดาประทับอยู่กับยสกุลบุตร พระศาสดาตรัสเทศนา อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีเห็นธรรมแล้ว เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธองค์กับพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นที่ระลึก ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท พระศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว สมัยนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลก เป็นเจ็ดทั้งพระยสะ
ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว มารดาและภริยาเก่าของยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจสี่ ให้สตรีทั้งสองนั้นเห็นธรรมแล้ว สตรีทั้งสองนั้นทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ สตรีทั้งสองนั้นได้เป็นอุบาสิกาขึ้นในโลกก่อนกว่าหญิงอื่น
ฝ่ายสหายของพระยสะ ๔ คน ชื่อ วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ ควัมปติ เป็นบุตร แห่งเศรษฐีสืบๆ มาในเมืองพาราณสี ได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว พร้อมกันทั้งสี่คนทูลขออุปสมบท พระศาสดาประทานอุปสมบท อนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตตผล
ครั้งนั้นมีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๑๑ องค์ และสหายพระยสะอีก ๕๐ คนก็ได้พากันมาบวชและสำเร็จพระอรหัตตผลด้วยกันรวมเป็น พระอรหันต์ ๖๑ พระองค์ พระยสะและพระสหายเหล่านี้ พระศาสดาทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาในคราวแรก พร้อมด้วยพระปัญจวัคคีย์ ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏอีก ไม่มีนามในจำพวกพระมหาสาวกอันพระศาสดาทรงยกย่องในที่เอตทัคคะ ชะรอยจะนิพพานสาบศูนย์เสียในคราวไปประกาศพระศาสนานั่นเอง
|