พระอัสสชิ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในเมืองกบิลพัสดุ์นคร พร้อมด้วยพราหมณ์ ๔ คน มีโกณฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า พากันออกบวชตามเสด็จคอย เฝ้าปฏิบัติพระองค์อยู่ทุกเช้าค่ำ ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี และพากันหลีกมาพำนักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
ครั้นพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรในทางใจได้ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปตรัสเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตรโปรด เป็นปฐมเทศนา และวันต่อมาตรัสปกิรณกเทศนา ท่านได้สดับเทศนานั้น พอเป็นเครื่องปลูกความเชื่อแลเลื่อมใส แต่หาได้สำเร็จมรรคผลอันใดไม่ ครั้นได้สดับปกิรณกเทศนาที่พระองค์ตรัสใน วาระที่ ๔ ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม ท่านได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงรับให้เป็นภิกษุด้วยวิธี "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
ครั้นกาลต่อมา ได้ฟังเทศนาอนัตตลักขณสูตร ที่พระองค์ทรงแสดงในลำดับปกิรณกเทศนานั้น ท่านพร้อมด้วยภิกษุ ๔ รูป คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคล ก่อนกว่าพระอริยสาวกทั้งหมด
ท่านได้ช่วยเป็นกำลังประกาศพระศาสนาในนานาชนบท ปรากฏว่าท่านเป็นผู้เฉลียวฉลาด รู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวดหรือเย่อหยิ่ง กิริยามารยาทก็เป็นที่น่าเลื่อมใส ท่านได้แสดงแก่อุปติสสปริพพาชก ใจความว่า "เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ" แปลว่า "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดง เหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้"
อุปติสสปริพพาชกได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ภายหลังปรากฏว่าอุปติสสปริพพาชกได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา มีนามว่าสารีบุตร เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา จัดว่าท่านพระอัสสชิได้ศิษย์สำคัญองค์หนึ่ง
ท่านดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาล แล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
|